Beijing less is more : เที่ยวปักกิ่ง แบบฉบับน้อยแต่มาก
สวัสดีเพื่อนๆ ชาว everyday is............. ทุกๆคนนะครับ เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา แอดมินทั้งสองคนได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศจีนมาครับ โดยไม่ใช่เป็นการไปจีนครั้งแรกของพวกเราสองคนหรอก แต่ทริปครั้งนี้มันพิเศษคือ มันเป็นการไปเมืองหลวงของจีน อย่างเมืองปักกิ่งครั้งแรกของแอดมินเอ แต่เป็นครั้งที่สองของแอดมินแพรนะ แต่ตอนที่แอดมินแพรมาครั้งแรกก็ตอนเมื่อวัยละอ่อนมาก ครั้งนี้ก็เหมือนได้มาเที่ยวปักกิ่งด้วยกันเป็นครั้งแรก แต่มีเวลาเรามีน้อยครับ เพราะเอาเข้าจริงมีเวลาเที่ยวเต็มที่ แค่ 2 วันเท่านั้นเอง โดยการไปครั้งนี้เรามีเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งคน คือพี่กุ้ง แห่ง Koong18rooms งานเขาดีนะครับคนนี้ ใครสนใจติดต่อถ่ายงานต่างๆ หลังไมค์มาหาแอดมินได้เลยครับ
เราเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียครับ โดยการเดินทางไปปักกิ่งเราต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ เพราะรูทปักกิ่ง ยังไม่มีบินตรงจากไทยนะครับ โดยเราบินไฟลท์ D7 312 เป็น Airasiax ของมาเลเซีย เครื่องบินลำใหญ่ครับนั่งสบาย ออกเดินทางจาก Klia2 เวลา 22.10 น. ไปถึงสนามบินปักกิ่งราว 04.25 ครับ เช้าตรู่พอดี เที่ยวต่อได้เลย
........................................
พอลงจากเครื่องบินก็ขอจัดกาแฟร้อนๆยามเช้าสักหน่อย
พอลงเครื่องนี่อากาศเลขตัวเดียวเบาๆที่ 9 องศา หนาวใช้ได้เลยครับ
พอลงเครื่องนี่อากาศเลขตัวเดียวเบาๆที่ 9 องศา หนาวใช้ได้เลยครับ
เราตัดสินใจเข้าเมืองด้วยบริการแท็กซี่ของสนามบิน ไม่ใช่พวกแท็กซี่เถื่อนๆที่มาเยือนเรียกเราหยอยๆ นะครับ ให้ไปต่อแถวเท่านั้นครับ แล้วเราจะได้แท็กซี่ที่ดีมีคุณภาพ ไม่โกง กดตามมิตเตอร์ คือ เราคิดว่าเราเดินทาง 3 คน ถ้าจะรอรถไฟด่วนจากสนามบินเข้าเมืองเราต้องรอตอน 6 โมงเช้า ซึ่งขาเดียวก็ คนละ 25 หยวนแล้ว แถมต้องไปต่อรถไฟใต้ดินต่อถึงจะถึงโรงแรมเรา บวกลบคูณหารแล้ว เราว่าแท็กซี่ถูกกว่าซึ่งก็จริงๆ ครับ เราเสียไปแค่ 80.3 หยวน โดยคนขับแท็กซี่ลดให้เหลือราคาถ้วนๆ ที่ 80 หยวนส่งถึงหน้าโรงแรมเลย ฟินกันไป
(ปล.อย่ากลัวการเรียกแท็กซี่ในจีนครับ เพียงแต่เขาอาจจะพูดอังกฤษไม่ได้เลย เราอาจต้องเตรียมตัวเอาพวกชื่อภาษาจีนของโรงแรมหรือสถานที่ที่เราจะไปโชว์เขาบ้าง เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แท็กซี่เขาดีกว่าแท็กซี่ไทยบางคนอีกนะแอดว่า)
เราพักที่ปักกิ่งคืนเดียว เราเลยเลือกพักโรงแรมที่มันสะดวกและรวมอาหารเช้าด้วย ก็เลยตัดสินใจพักที่โรงแรม renaissance wangfujing beijing อยู่บนถนนช้อปปิ้งขนาดใหญ่อย่างถนน wangfujing แถมสะดวกในการเดินทางไปขึ้นรถไฟใต้ดิน และถ้าฟิตๆหน่อยเดินไปพระราชวังต้องห้ามได้เลยนะ ไม่ไกลมาก ซึ่งโรงแรมนั้นสวยงามมากครับเกินคำบรรยาย
เรามาเช็คอินแต่เช้า เตรียมใจมาแล้วว่าจะมาแค่ฝากกระเป๋าเฉยๆ เราจะออกไปเที่ยวเลย แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดีมาก มันมีห้องพักที่ว่างพอดี ก็เลยให้เราเข้าพักได้เลย เราก็เลยได้ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ก่อนจะออกตะลุยเมืองปักกิ่งกัน
คือนี้นอนนี่นะ เตียงนุ่ม ผ้าห่มอุ่นหนา แถมโรงแรมนี้หอมมาก หอมตั้งแต่ล๊อบบี้ ยันทางเดิน จนมาถึงห้องพักเลยครับ สมฐานะแบรนด์ และโรงแรมในเครือจริงๆครับ
เช้าๆคนยังไม่เยอะมาก แต่สิ่งที่ชอบคือเลนจักรยานที่กว้างมากครับ และความสะอาดของถนนหนทางที่เมืองไทยเราสู้ไมไ่ด้เลย นี่ก็งงนะ คนไทยชอบยี้คนจีนเรื่องความสะอาด แต่ดูบ้านเมืองเขาแล้ว ผมว่ามันสะอาดกว่าเมืองไทยหลายเท่าเลยอ่ะ
...................................
Day 1 : สถานที่ Great wall of china กำแพงเมืองจีน
เรารีบมาแต่เช้าเพราะกลัวคนจะเยอะ แต่ก็ไม่รอดครับ คนก็เยอะอยู่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับแออัดมากจนเกินไป แดดแรงนิด แต่อากาศเย็นมาก ลมพัดมาทีนี่หนาวเลยครับ ตอนแรกว่าจะใส่เสื้อยืด ต้องหยิบเอาเสื้อคลุมออกมาใช่กันเลยทีเดียว
เรารีบมาแต่เช้าเพราะกลัวคนจะเยอะ แต่ก็ไม่รอดครับ คนก็เยอะอยู่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับแออัดมากจนเกินไป แดดแรงนิด แต่อากาศเย็นมาก ลมพัดมาทีนี่หนาวเลยครับ ตอนแรกว่าจะใส่เสื้อยืด ต้องหยิบเอาเสื้อคลุมออกมาใช่กันเลยทีเดียว
ช่วงที่เรามานั้นเป็นช่วงย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ และเป็นช่วงที่ซากุระจีนเริ่มบ้านบริเวณกำแพงเมืองจีน (ส่วนในเมืองปักกิ่ง ซากุระจีนจะเริ่มบานช่วงปลายเดือนมีนาคม จนถึงต้นเดือนเมษายน ช่วงที่เราไปซากุระในเมืองจะไม่ใช่ช่วงพีคแล้ว แต่ที่กำแพงเมืองจีนถือว่ายังเป็นช่วงพีคอยู่ครับ) โดยจุดชมที่สวยงามมากๆคือช่วงระหว่างป้อม 3 กับป้อม 4 มันจะมีทางเดินข้างๆ กำแพงเมืองจีนให้เดินลัดเลาะลงไปข้างล่างได้ ซึ่งบริเวณนี้ต้นซากุระจีนเยอะมากครับ แต่ยังบานไม่เต็มที่ บางต้นก็ยังเล็กอยู่ครับ ถ้ามาอีกหลายๆปีข้างหน้าผมว่ามันจะอลังการกว่านี้แน่ๆ
เราสามคนเดินเล่นถ่ายรูปกันบริเวณนี้กันมันส์ไปเลยครับ คือ เดินกำแพงเมืองจีนครบทุกป้อมก็คงไม่ไหวครับ ไปได้แค่ 4 ป้อมเอง ก็รู้สึกว่าพอก่อนจะดีไหม ต้องออมแรงไว้เดินทางอีกหลายแห่ง เลยเน้นมาเดินชิลล์ๆ ถ่ายดอกซากุระกันดีกว่า

การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี Jishuitan จากนั้นมองหาทางออกดีๆ ที่เขียนทางไปท่ารถบัส โดยเมื่อเราขึ้นมาแล้วเดินตามทางป้ายบอกทางมาขึ้นรถบัส สาย 877 เดินตามๆ เขามาเลยครับ มองป้ายใหญ่ๆ มีตลอดทาง ไม่หลงแน่นอน ค่ารถบัสเที่ยวเดียว 12 หยวน แต่ถ้าจ่ายด้วยบัตร Beijing transportation Smart card ค่าโดยสารจะลดลงเหลือ 6 หยวน ดังนั้นถ้ามาปักกิ่งผมว่าซื้อบัตรนี้ดีงามมากครับ ค่ามัดจำบัตร 20 หยวน เติมตังค์เท่าไหร่ก็ได้ จ่ายอะไรด้วยบัตรมีส่วนลดมากกว่าจ่ายเงินสดครับ นั่งไปหลับไป 1 ตื่น ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็จะถึงด่านปาต้าลิง ครับ ใครใคร่เดินขึ้นเดิน ใครจะขึ้น Cable car หรือ Slide car ก็ตามอัธยาศัย และงบประมาณครับผม
..............................
สถานีถัดไป พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace)
พระราชวังฤดูร้อนกว้างมากครับ และก็สวยงามมาก แต่วันที่เราไปช่วงบ่ายคือคลื่นมหาชนมันคับคั่งมาก จนบางช่วงเหมือนต้องเดินไหลๆกันไปยังกับมางาน count down เลย ดังนั้นการมาเยี่ยมชมควรเลือกวันให้ดีๆ หลีกเลี่ยงวันเทศกาล หรือไม่ก็เลือกมาวันธรรมดาและมาเช้าๆหน่อย หรือไม่ก็เย็นๆไปเลยครับ แต่ถึงคนจะเยอะยังไง ก้ยังสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ ร่มรื่น ร่มเย็นของพระราชวังแห่งนี้ ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์อีกที่ ที่มาปักกิ่งต้องมาเยือนให้ได้
การเดินทาง : นั่งสถานีรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Beigongmen
เดินตามผู้คนเขามาเรื่อยๆครับ เพราะมันเดินได้หลายทางมาก
............................
สถานีสุดท้ายของวันแรก สนามกีฬาโอลิมปิกปี 2008 (Bird s Nest
Stadium)
ถึงแม้เราไม่มีโอกาสมาร่วมโอลิมปิคที่ปักกิ่ง แต่ความสวยงามอลังการของสนามกีฬารังนก ก็ติดตาตรึงใจให้ต้องมาดูให้เห็นด้วยตาให้ได้ ถึงแม้เราจะมาช้าไป 9 ปีเอง แต่สนามก็ยังสมบูรณ์อยู่นะ แถมนักท่องเที่ยวเพียบเลย
เราก็เดินชิลล์ไปเรื่อยๆ หาไอติมทานเย็นชื่นใจทาน ไปเจอไอติมสัปปะรดที่ร้านสะดวกซื้อก่อนทางเข้าสนามกีฬา คือดีย์มากกกกกกกอ่ะ
จากนั้นเราก็เดินเล่น นั่งเล่นรอเวลา ที่สนามกีฬาจะเปิดไฟ ไปดักรอถ่ายที่มุมมหาชน อากาศเริ่มเย็นกำลังดี คุณแฟนนอนหลับไป 1 ตื่น
แล้วช่วงเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง สวยงามตามท้องเรื่องจริง คุ้มค่ากับการรอคอย เปิดไฟแล้วบรรเจิดกว่าตอนกลางวันอีก
การเดินทาง : นั่งสถานีรถไฟใต้ดินมาลง สถานี Olympic
Sport Center ทางออก B1 หรือ B2
.....................................
Day 2 วันนี้วันสุดท้ายแล้ว แต่เรามีเวลาเต็มวันยันกลางคืนเลย สถานที่แรกที่เราไปก็คือ พระราชวังต้องห้าม (Forbidden city)
มันคือไฮไลต์ของไฮไลต์ มันเป็นพระราชวังต้องห้าม(พลาด) จริงครับ มันยิ่งใหญ่มาก กว้างมาก เหมือนหลุดเข้าไปเมืองๆนึงเลย คือแค่คิดว่าคนในอดีตเดินในพระราชวังอาจมีหลงทางได้แน่ๆ ผู้คนในวันนี้ก็คราคร่ำตามเคย เราแค่มาสายไปนิดเดียว เนื่องจากเอร็ดอร่อยกับอาหารเช้าที่โรงแรม และเจอเตียงดูวิญญาณไม่อยากจะลุกขึ้นมาตอนเช้ากัน แต่ถึงคนจะเยอะอย่างไรก็ไม่หวั่นครับ เดินกันอึดเดินกันทนเกือบครบทุกตารางนิ้วของพระราชวังกันทีเดียว
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Tian’an men east เดินผ่านจตุรัสเทียนอันเหมินเข้ามาก็ถึงทางเข้าแล้วครับ
........................................
สถานีต่อมาคือ หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of
Heaven)
ที่นี่เป็นที่ประทับใจมากๆแห่งหนึ่งเลยครับ โดยสถาปัตยกรรมที่แหวกออกไปจากที่เจอมาทั้ง 2 วัน แล้วฟ้าก็ดันเป็นใจ จึงขับให้หอสักการะฟ้าเทียถานสวยงามเป็นพิเศษเลยครับวันนี้ แถมอาณาบริเวณโดยรอบก็ร่มรืนครับ มีสวนสาธารณะให้พักผ่อนหย่อนใจ มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นมากมากเลยครับ อยุ่ที่นี่นานเลยทีเดียว
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Tiantan Dongmen ขึ้นมาก็จะเจอทางเข้าเลยครับ
......................................
เรามาช่วงซากุระจีนบาน เจอที่กำแพงเมืองจีนไปนี่ก็ว่าฟินตัวแตกแล้ว เราเลยคิดจะไปตามล่าซากุระกันอีกที่ ที่มีเทศกาลซากุระจริงจัง นั้นก็คือ Yuyuantan
park
แต่มาถึงก็ผิดหวังครับ ซากุระร่วงโรยไปเยอะมากแล้ว ไม่สะพรั่งเหมือนที่กำแพงเมืองจีน แต่โชคดีที่สวนแห่งนี้ก็เป็นไฮไลต์ทางด้านทัศนียภาพ อากาศก็ดีมาก เป็นปอดของปักกิ่งเลยครับ มีคนมาแก้ผ้าเล่นน้ำเยอะมาก ปั่นเรือถีบกันหนุกหนานเต็มไปหมด หนุ่มสาวชาวจีนมากระหนุงกระนิงกันเยอะไปหมด คือสวนนี้อบอวลไปด้วยความรักจริงๆครับ
การเดินทาง : จริงๆผมมารถเมล์นะ แต่ถ้านั่งรถไฟใต้ดินก็มาลงสถานี Junshibowuguan
แล้วเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็ถึงละครับ
...................................
สถานีสุดท้าย ก็เย็นย่ำพอดี เรามาปิดกันที่ จตุรัสเทียนอันเหมินและเดินถนนหวังฟู่จิง หาของกินก่อนกลับไทย
วันนี้เรามาวันที่ครบรอบเหตุการณ์ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน และประกอบกับสถานการณ์ในเกาหลีเหนือที่คุกรุ่น ทำให้มีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยมากขึ้น และมีการจัดงานในตอนเย็น ผู้คนจึงมาที่จตุรัสกันมากมายจริงๆครับ ที่นี่ตอนกลางคืนเปิดไฟแล้วสวยมากๆครับ แนะนำให้มาตอนกลางคืนเลย
ในส่วนของถนนหวังฟู่จิง ตอนกลางคืนวันเสาร์/อาทิตย์ โบสถ์คริสต์ที่อยู่บนถนนเส้นนี้จะเปิดไฟส่องสว่าง สวยมากครับ วันแรกเราเดินผ่านวันศุกร์ ไม่เปิดไฟก็ว่าสวยแล้วนะ เจอมุมนี้ไปฟินเลย
ท้ายสุด ทริปนี้ประทับใจครับ มีเวลาจำกัด แต่ปักกิ่งก็สวยงามจริงๆ และมีความเป็นที่สุดในหลายๆด้านจริงๆ ถึงมีเวลาน้อยแต่เราก็ได้อะไรกลับมามากมายจริงๆ ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน จะต้องไปเดินกำแพงเมืองจีนให้ได้มากกว่า 4 ป้อม จะไปตามล่าซากุระอีกซักรอบ ไม่งั้นอาจจะมาฤดูหนาวที่ทะเลสาบที่พระราชวังฤดูร้อนเป็นน้ำแข็ง พร้อมกับหิมะที่โปรยปราย ผมว่าปักกิ่งเที่ยวได้ทุกฤดูแหล่ะครับ และเมืองจีนก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดจริงๆครับ ไม่ต้องกลัวเรื่องภาษา เพราะคนเราสื่อสารกันได้ครับ แม้ไมไ่ด้พูดภาษาเดียวกัน ขนาดเราพูดภาษามือกับลุงกวาดถนนที่พูดอังกฤษไมไ่ด้เลย เขายังบอกทางเราไปถูก ไม่ต้องกลัวที่จะเริ่มต้นครับกับการเที่ยวเมืองจีน คุณไปเที่ยวเองได้ สบายๆ
** ขอบคุณพี่กุ้ง แห่ง Koong18rooms สำหรับภาพถ่ายสวยๆครับ และยอมหลงกลเดินทางไปด้วย
** ขอบคุณ Travel sim จาก True ครับ ที่ทำให้เล่นเนตที่จีนได้เร็วมาก แถมไม่ต้องต่อ VPN ใช้ facebook line ig ได้สบายๆ ใครไปจีน ใช้ซิมของทรู ดีสุดครับ อันนี้ขอบอก
.....................................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น