"เห้ยเมิง ไปถนนพระอาทิตย์กัน"
"ไปทำไรว่ะ"
"ไปเดินชิลล์ๆ เย็นๆ ก็หาเหล้าแดก"
ประโยคที่โคตร Classic เลยว่ามีคนชวนไปถนนพระอาทิตย์
คือถ้าไม่ชวนไปกินเหล้า
ก็ชวนไปหาของกินอร่อยๆ
จนมันเหมือนเป็นการจำกัดนิยามของ ถนนพระอาทิตย์ แต่เพียงแค่นั้นเอง
เอาจริงๆ
แต่ก่อนผมก็คิดแค่นั้นนะ ความทรงจำของผม
คงมีแค่ร้านโรตีมะตะบะ ต้นลำพู ป้อมพระสุเมรุ
หรือที่โดดขึ้นมาหน่อย ก็พวกเทศกาลดนตรี ศิลปะ
ที่ชอบมาจัดแถวๆนี้
หรือเอาแบบโตๆ ขึ้นมาหน่อย
แต่ก่อนผมชอบดูหนังเรื่อง "30 กำลังแจ๋ว" ของพี่อั้ม พัชราภา
ภาพป้อมพระสุเมรุ เลยติดตาผม ในฉากสำคัญๆ ของหนังเรื่องนี้
จนกระทั่งวันนึง ได้รับเกียรติครับจาก "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์"
ว่าจะมีการจัดงาน "วาดตึกเก่า เล่าเรื่องกรุง"
เลยอยากจะชวนเพจของเรา มาจอยกันสักหน่อย
แหม เพจเล็กๆ อย่างเราที่คนติดตาม ไม่ได้มากมายอะไร
ได้รับเกียรติขนาดนี้ มีหรือจะไม่อยากไปครับ
ที่ตกปากรับคำแบบไม่ต้องสงสัยเลย คือ
จะพาเราขึ้นไปถ่ายรูปข้างบนป้อมพระสุเมรุ
ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้ขึ้นไปบนป้อม
มันเลยเป็นโอกาสอันดีมากๆครับ
ปกติเวลาผมมาถนนพระอาทิตย์
ป้อมพระสุเมรุ คือที่แรกๆแหล่ะที่ผมนึกถึง
คือมันก็เหมือนหัวใจของย่านนี้เลยนะครับ
แต่ก่อนนี่ ย่านนี่ จะคราคร่ำไปด้วยเด็กแนวยุคแรกๆ
คือไม่รู้ทำไมนะ
สมัยก่อน คือมันจะเห็นเด็กเซอร์ๆ แนวๆ อาร์ทๆหน่อย
มาเดินเล่น มาถ่ายรูปย่านนี้เยอะมาก
(สมัยนี้ก็อาจจะมีมั้ง แต่ผมแก่ขึ้น เลยไม่ค่อยได้ไป ถถถถถถถถ)
แน่นอนว่า ถ้ามาแบบปกติ เราก็จะได้ถ่ายรูปเฉพาะด้านล่าง
แต่เพราะครั้งนี้เรามากันแบบพิเศษๆหน่อย
มันก็จะเลยได้ขึ้นไปข้างบนป้อมแบบนี้หล่ะครับ
ก่อนจะปีนไปส่องตามช่องประตูต่างๆ
ก็ต้องผ่านบันได
และบรรยากาศด้านในแบบนี้
การได้ขึ้นมาบนป้อมพระสุเมรุ
เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าครั้งหนึ่งเลยนะครับ
ถือเป็นความทรงจำดีๆกับกิจกรรมนี้เลยหล่ะครับ
...................................
หลังจากเดินย่ำถนนพระอาทิตย์และป้อมพระสุเมรุแล้ว
เราก็จะตัดมาที่
สถานที่แห่งหนึ่ง ที่ภูมิใจนำเสนอมากๆครับ
นั่นก็คือ พิพิธบางลำพู
พิพิธบางลำพู
แต่เดิมเป็นอาคารโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช
จนกระทั่งกรมธนารักษ์ได้เข้ามาปรับปรุงอาคาร
เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์กรมธนารักษ์
ทีนี้ด้วยที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์
เป็นพื้นที่เก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
จึงได้จัดแสดงประวัติความเป็นมาและวิถีชุมชนบางลำพู
ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลานกิจกรรมให้กับประชาชนทั่วไป
อีกด้วย
เรามาต่อกันที่ด้านในอาคารและการจัดแสดงของ
พิพิธบางลำพูกันดีกว่า
แค่ด้านหน้าของอาคารด้านใน
ก็สวยงามมากๆแล้วครับ
ภายในพิพิธบางลำพูจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
คือส่วนชั้นล่างของอาคารปูน
ส่วนชั้นบนของอาคารปูน
และสุดท้ายคือส่วนของอาคารไม้
เราจะพามาดูที่ห้องแรก กันนะครับ
ห้องนี้จะจัดนิทรรศการ เอกบรมองค์ราชินี
เป็นนิทรรศการเทิดพระเกียรติ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคล 82 พรรษา
ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระราชินีนาถ
ก็เนื่องจากอาคารหลังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี
2475
ซึ่งเป็นปีประสูติของพระองค์นั่นเองครับ
ห้องที่สอง มีชื่อว่า ป้อมเขตขัณฑ์รัตนโกสินทร์
ห้องนี้จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างกำแพงป้อมต่างๆ
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งการสร้างกำแพงนี้เอง จึงเป็นจุดกำเนิดของคูคลองล่องลำนำ ทำให้เกิดย่านชุมชมการค้าต่างๆ ขึ้นมานั่นเอง
ในส่วนต่อมาจะเป็นชั้นบนของอาคารปูน
จะเป็นส่วนการจัดนิทรรศการของกรมธนารักษ์
ก็จะประกอบด้วย
1.พระคลังมหาสมบัติ จัดแสดงอาคารสถานที่ต่างๆที่อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์
2.ห้องเบิกโรงกษาปณ์ ตามรอยเงินตรา จัดแสดงประวัติในการผลิตเหรียญเงินตรา
3.ห้องทรัพย์แห่งความภูมิใจ อนุรักษ์ไว้เพื่อแผ่นดิน
เป็นห้องที่จัดแสดงถึงความเป็นมาของการจัดเก็บทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินในพระคลังมหาสมบัติ
ตลอดจนวิธีการอนุรักษ์
4.ห้องเพื่อราษฎร์และรัฐ
เป็นห้องจัดแสดงที่ราชพัสดุ และ การประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์
ต่อมาจะเป็นในส่วนของอาคารไม้
จะเป็นการจัดนิทรรศการของชุมชนบางลำพู
แนะนำให้ดูรูปกันไปเพลินๆ นะครับ
เพราะส่วนนี้ผมชอบมากเลยนะ
มันได้ความรู้สึก ได้กลิ่นไอความเก่าแก่
วิถีชีวิตโบราณของย่านนี้ได้ดีทีเดียว
โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ
1.สีสันบางลำพู
2.พระนครเซ็นเตอร์
3.ย่ำตรอกบอกเรื่องเก่า
4.ถิ่นคนดีศรีบางลำพู
คือในส่วนของนิทรรศการต่างๆ ผมไม่อยากลงลึกในรายละเอียดมากนะครับ คืออยากให้ทุกคนถ้ามีเวลาว่างๆ
ลองหอบลูกจูงหลานมาเยี่ยมชมที่นี่ดีกว่า
เพราะทางพิพิธบางลำพู เขาจัดได้ดีมาก
คือชมได้ทุกเพศทุกวัย
ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ต่าง ๆไปในตัว
อัตราค่าเข้าชมอยู่ที่ 100 บาท
วันและเวลาทำการ
วันอังคาร - วันอาทิตย์ (ปิดทำการส่วนจัด
ห้องจัดแสดงชั้น 1 เปิดเวลา 10.00-18.00
น. โดยสามารถเดินชมได้ด้วยตนเอง
ห้องจัดแสดงชั้น 2 เปิดเข้าชมเป็นรอบ ทุกๆ 30
นาทีโดยมีเจ้าหน้าที่นำชม
รอบแรกเวลา 10.00 น.
และรอบสุดท้ายเวลา 16.00 น.
..............................
ในส่วนของกิจกรรมต่อมา
พาไปเยี่ยมชม บ้านเลขที่ 19
ที่เคยเป็นบ้านพักของ นายปรีดี พนมยงค์
ครั้งที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8
นอกจากนั้นยังเคยเป็นกองบัญชาการเสรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 อีกด้วย
จากนั้นเราได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมการบูรณะ วังมะลิวัลย์
เดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย
คชเสนี) ผู้เป็นปู่ของเจ้าจอมมารดากลิ่น คชเสนี ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และตกทอดมาถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้ากฤดาภินิหาร)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างตำหนักพระราชทานบนที่ดินนั้น
บ้านมะลิวัลย์เป็นตำหนักหลังใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างพระราชทานแด่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชันษาครบ 5 รอบใน พ.ศ. 2460 เป็นอาคารทรงยุโรปก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา
มีท้องพระโรงเป็นหอโถงสูงใหญ่ มีเฉลียงรายรอบชั้นล่าง และมีระเบียงรายล้อมชั้นบน
เพดานห้องโถงและหัวเสาปั้นลายปูนเลียนแบบศิลปะขอม ออกแบบโดยนายเออโคล มันเฟรดี
(ออกฤทธิ์ หมั่นเฟ้นดี) สถาปนิกชาวอิตาเลียน ก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2460
ผมเชื่อว่าภายหลังจากการบูรณะแล้ว
วังมะลิวัลย์จะกลับมาสวยงามเป็นอย่างมาก
และน่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ในย่านถนนพระอาทิตย์ ที่อุดมไปด้วยตึกอาคารเก่าๆ มากมายแน่นอนครับ
ปัจจุบันอาคารทั้งหลายเหล่านี้บนถนนพระอาทิตย์
อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ซึ่งรับผิดชอบหลักด้านการบูรณะซ่อมแซมและดูแลผู้เช่าอาคาร"
และเป็นผู้เชื้อเชิญทางเพจ everyday is honeymoon day
มาร่วมกิจกรรมดีๆในครั้งนี้
คือแบบมาที นี่เต็มอิ่ม อัดแน่นจริงๆครับ
เพื่อนๆจะเห็นได้ว่า นอกจากถนนพระอาทิตย์ จะเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียง ทางด้านการเป็นแหล่ง Hang out ของวัยรุ่น
หรือย่านที่มีของกินอร่อยๆ
ถนนเส้นนี้ยังมีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรม
และความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์
ที่ควรค่าแก่การหาเวลามาเดินเล่นสักวันนะครับ
ขอบคุณสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริยท์
สำหรับโอกาสดีๆ ครั้งนี้อีกครั้งนะครับ
ขอบคุณภาพสวยๆ จากช่างภาพของเรา
จาก Koong18rooms นะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น